เวลาปัจจุบัน

จำนวนผู้เข้าชม

install tracking codes
Visitors Total

ปฏิทิน


วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา : วันเข้าพรรษา (Buddhism Days : Buddhist Lent Day) >>>


ภาพที่ ว4-1  พระภิกษุสงฆ์จำพรรษา ณ ที่ใดที่หนึ่ง ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา
ที่มา : (http://sakonnakhonguide.com/upload/pics/3093259faa7161460da634b350abae9e.jpg, 2013)

     วันเข้าพรรษา เป็นวันสำคัญในพุทธศาสนาวันหนึ่งที่พระภิกษุสงฆ์จะอธิษฐานว่า จะพักประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งตลอดระยะเวลาฤดูฝน ที่มีกำหนดระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินัยบัญญัติไว้ โดยไม่ไปค้างแรมที่อื่น หรือเรียกกันว่า จำพรรษา (พรรษา แปลว่า ฤดูฝน, จำ แปลว่า พักอยู่) พิธีเข้าพรรษานี้ถือเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระภิกษุสงฆ์โดยตรง ละเว้นไม่ได้ทุกกรณี การเข้าพรรษาตามปกติเริ่มนับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี (หรือเดือน 8 หลัง ถ้ามีเดือน 8 สองหน) และสิ้นสุดลงในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือวันออกพรรษา

     วันเข้าพรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8) หรือเทศกาลเข้าพรรษา (วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 - วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11) ถือว่า เป็นวันและช่วงเทศกาลทางพุทธศาสนาที่สำคัญเทศกาลหนึ่งในประเทศไทย โดยมีระยะเวลาประมาณ 3 เดือนในช่วงฤดูฝน โดยวันเข้าพรรษาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่ต่อเนื่องมาจากวันอาสาฬหบูชา (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8) ซึ่งพุทธศาสนิกชนชาวไทยได้สืบทอดประเพณีปฏิบัติการทำบุญในวันเข้าพรรษามาช้านานแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัย

ความสำคัญของวันเข้าพรรษา >>>

1) ช่วงเข้าพรรษานั้นเป็นช่วงเวลาที่ชาวบ้านประกอบอาชีพทำไร่นา ดังนั้นการกำหนดให้พระภิกษุสงฆ์หยุดการเดินทางจาริกไปในสถานที่ต่างๆ ก็จะช่วยให้พันธุ์พืชของต้นกล้า หรือสัตว์เล็กสัตว์น้อย ไม่ได้รับความเสียหายจากการเดินธุดงค์
2) หลังจากเดินทางจาริกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนามาเป็นเวลา 8-9 เดือน ช่วงเข้าพรรษาเป็นช่วงที่ให้พระภิกษุสงฆ์ได้หยุดพักผ่อน
3) เป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆ์จะได้ประพฤติปฏิบัติธรรมสำหรับตนเอง และศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย ตลอดจนเตรียมการสั่งสอนให้กับประชาชนเมื่อถึงวันออกพรรษา
4) เพื่อจะได้มีโอกาสอบรมสั่งสอน และบวชให้กับกุลบุตรผู้มีอายุครบบวช อันเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อไป
5) เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลเป็นการพิเศษ เช่น การทำบุญตักบาตร หล่อเทียนพรรษา ถวายผ้าอาบน้ำฝน รักษาศีล เจริญภาวนา ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม งดเว้นอบายมุข และมีโอกาสได้ฟังพระธรรมเทศนาตลอดเวลาเข้าพรรษา

ประวัติความเป็นมาของวันเข้าพรรษา >>>

     ในสมัยต้นพุทธกาล พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงวางระเบียบเรื่องการเข้าพรรษาไว้ แต่การเข้าพรรษานั้นเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์และพระสงฆ์สาวกปฏิบัติกันมาโดยปกติอยู่แล้ว เนื่องด้วยพุทธจริยาวัตรในอันที่จะไม่ออกไปจาริกตามสถานที่ต่างๆ ในช่วงฤดูฝน เพราะการคมนาคมมีความลำบาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระภิกษุสงฆ์ในช่วงต้นพุทธกาลมีจำนวนน้อย และส่วนใหญ่เป็นพระอริยบุคคล จึงทราบดีว่าสิ่งใดที่พระภิกษุสงฆ์ควรหรือไม่ควรกระทำ

     เมื่อพระภิกษุสงฆ์มีจำนวนมากขึ้น และด้วยพระพุทธจริยาที่พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงบัญญัติพระวินัยล่วงหน้า ทำให้พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติเรื่องให้พระสงฆ์สาวกอยู่ประจำพรรษาไว้ด้วย จึงเกิดเหตุการณ์กลุ่มพระสงฆ์ฉัพพัคคีย์ พากันออกเดินทางเผยแผ่พระพุทธศาสนาในที่ต่างๆ โดยไม่ย่อท้อทั้งในฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน ทำให้ชาวบ้านได้พากันติเตียนว่า พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไม่ยอมหยุดพักสัญจรแม้ในฤดูฝน ในขณะที่นักบวชในศาสนาอื่นๆ พากันหยุดเดินทางในช่วงฤดูฝน การที่พระภิกษุสงฆ์จาริกไปในที่ต่างๆ แม้ในฤดูฝน อาจเหยียบย่ำข้าวกล้าของชาวบ้านได้รับความเสียหาย หรืออาจไปเหยียบย่ำโดนสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ออกหากินจนถึงแก่ความตาย เมื่อพระพุทธเจ้าทราบเรื่องจึงได้วางระเบียบให้พระภิกษุสงฆ์ประจำอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง เป็นเวลา 3 เดือนดังกล่าว

การเข้าพรรษาของพระภิกษุสงฆ์ตามพระวินัยปิฎก >>>

     ตามพระวินัยปิฎก พระภิกษุสงฆ์รูปใดไม่เข้าจำพรรษาอยู่ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงปรับอาบัติแก่พระสงฆ์รูปนั้นด้วยอาบัติทุกกฎ และพระภิกษุสงฆ์ที่อธิษฐานรับคำเข้าจำพรรษาแล้ว จะไปค้างแรมที่อื่นไม่ได้ แต่ถ้าหากเดินทางออกไปแล้ว และไม่สามารถกลับมาในเวลาที่กำหนดคือ ก่อนรุ่งสว่าง ก็จะถือว่า พระภิกษุสงฆ์รูปนั้น "ขาดพรรษา" และต้องอาบัติทุกกฎ เพราะรับคำนั้น รวมทั้งพระภิกษุสงฆ์รูปนั้นจะไม่ได้รับอานิสงส์พรรษา ไม่ได้อานิสงส์กฐินตามพระวินัย และทั้งยังห้ามไม่ให้นับพรรษาที่ขาดนั้นอีกด้วย

1) ประเภทของการเข้าพรรษาของพระภิกษุสงฆ์

     การเข้าพรรษาตามพระวินัย แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

     1.1) ปุริมพรรษา (หรือบุริมพรรษา) คือ การเข้าพรรษาแรก เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 (สำหรับปีอธิกมาสคือ มีเดือน 8 สองหน จะเริ่มในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หลัง) จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หลังจากออกพรรษาแล้ว พระที่อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือน ก็มีสิทธิที่จะรับกฐิน ซึ่งมีช่วงเวลาเพียง 1 เดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12

     1.2) ปัจฉิมพรรษา คือ การเข้าพรรษาหลัง ใช้ในกรณีที่พระภิกษุสงฆ์ต้องเดินทางไกล หรือมีเหตุสุดวิสัย ทำให้กลับมาเข้าพรรษาแรกในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ไม่ทัน ต้องรอไปเข้าพรรษาหลัง คือวันแรม 1 ค่ำ เดือน 9 แล้วจะไปออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ซึ่งเป็นวันหมดเขตทอดกฐินพอดี ดังนั้นพระภิกษุที่เข้าปัจฉิมพรรษาจึงไม่มีโอกาสได้รับกฐิน แต่ก็ได้พรรษาเช่นเดียวกับพระภิกษุสงฆ์ที่เข้าปุริมพรรษาเหมือนกัน

2) ข้อยกเว้นการจำพรรษาของพระภิกษุสงฆ์

     การเข้าพรรษาถือเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระภิกษุสงฆ์โดยตรง ที่จะละเว้นไม่ได้ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม แต่ว่าในการจำพรรษาของพระภิกษุสงฆ์ในระหว่างพรรษานั้น อาจมีกรณีจำเป็นบางอย่าง ทำให้พระภิกษุสงฆ์ต้องออกจากสถานที่จำพรรษาเพื่อไปค้างที่อื่น พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาตให้ทำได้โดยไม่ถือว่าเป็นการขาดพรรษา โดยมีเหตุจำเป็นเฉพาะกรณีๆ ไป ตามที่ทรงระบุไว้ในพระไตรปิฎก ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการพระศาสนาหรือการอุปัฏฐานบิดามารดา แต่ทั้งนี้ก็จะต้องกลับมาภายในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน การออกนอกที่จำพรรษาล่วงวันเช่นนี้เรียกว่า "สัตตาหกรณียะ" ซึ่งเหตุที่ทรงระบุว่า จะออกจากที่จำพรรษาไปได้ชั่วคราวนั้น ได้แก่

     2.1) การไปรักษาพยาบาล หาอาหารให้พระภิกษุสงฆ์ หรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย กรณีนี้ทำได้กับสหธรรมิก 5 และมารดาบิดา

     2.2) การไประงับพระภิกษุสามเณรที่อยากจะสึกมิให้สึกได้ กรณีนี้ทำได้กับสหธรรมิก 5

     2.3) การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิที่ชำรุด หรือการไปทำสังฆกรรม ตัวอย่างเช่น สวดญัตติจตุตถกรรมวาจาให้พระผู้ต้องการอยู่ปริวาส เป็นต้น

     2.4) หากทายกนิมนต์ไปทำบุญ ก็ไปให้ทายกได้ให้ทาน รับศีล ฟังเทศนาธรรมได้ กรณีนี้หากโยมไม่มานิมนต์ ก็จะไปค้างไม่ได้

3) อานิสงส์การจำพรรษาของพระสงฆ์ที่จำครบพรรษา

     เมื่อพระสงฆ์จำพรรษาครบไตรมาส ได้ปวารณาออกพรรษาและได้กรานกฐินแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์ หรือข้อยกเว้นพระวินัย 5 ข้อ ได้แก่

     3.1) เที่ยวไปไหนไม่ต้องบอกลา (ออกจากวัดไปโดยไม่จำเป็นต้องแจ้งเจ้าอาวาส หรือพระสงฆ์รูปอื่นก่อนได้)

     3.2) เที่ยวไปไม่ต้องถือไตรจีวรครบสำรับ 3 ผืน

     3.3) ฉันคณะโภชน์ได้ (ล้อมวงฉันได้)

     3.4) เก็บอดิเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา (ยกเว้นสิกขาบทข้อนิสสัคคิยปาจิตตีย์บางข้อ)

     3.5) จีวรลาภอันเกิดในที่นั้นเป็นของภิกษุ (เมื่อมีผู้มาถวายจีวรเกินกว่าไตรครอง สามารถเก็บไว้ได้โดยไม่ต้องสละเข้ากองกลาง)

การถือปฏิบัติการเข้าพรรษาของพระภิกษุสงฆ์ไทยในปัจจุบัน >>>

1) การเตรียมตัวเข้าจำพรรษาของพระสงฆ์ในปัจจุบัน


ภาพที่ ว4-2  พระภิกษุสงฆ์ในวัดจะรวมตัวกันอธิษฐานจำพรรษา ภายในพระอุโบสถหรือวิหารของวัด
ที่มา : (https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/e/e8/Buddhist_monk_in_Buddhist_church.jpg, 2016)

     การเข้าจำพรรษา คือ การตั้งใจเพื่ออยู่จำพรรษา ณ อาวาสใดอาวาสหนึ่ง หรือสถานที่ใดสถานที่หนึ่งเป็นประจำตลอดพรรษา 3 เดือน ดังนั้นก่อนเข้าจำพรรษา พระภิกษุสงฆ์ในวัดจะเตรียมตัวโดยการซ่อมแซมเสนาสนะ ปัดกวาดเช็ดถูให้เรียบร้อยก่อนถึงวันเข้าพรรษา

     เมื่อถึงวันเข้าพรรษา ส่วนใหญ่พระภิกษุสงฆ์จะลงประกอบพิธีอธิษฐานจำพรรษาหลังสวดมนต์ทำวัตรเย็น เป็นพิธีเฉพาะของพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะลงประกอบพิธี ณ พระอุโบสถ หรือสถานที่ใดตามแต่จะสมควรภายในอาวาสที่จะจำพรรษา โดยเมื่อทำวัตรเย็นประจำวันเสร็จแล้ว เจ้าอาวาสจะประกาศเรื่องวัสสูปนายิกา คือ การกำหนดบอกให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงรู้ถึงข้อกำหนดในการเข้าพรรษา โดยมีสาระสำคัญดังนี้

     1) แจ้งให้ทราบเรื่องการเข้าจำพรรษาแก่พระภิกษุสงฆ์ในอาราม

     2) แสดงความเป็นมาและเนื้อหาของวัสสูปนายิกาตามพระวินัยปิฏก

     3) กำหนดบอกอาณาเขตของวัด ที่พระภิกษุสงฆ์จะรักษาอรุณ หรือรักษาพรรษาให้ชัดเจน (รักษาอรุณ คือ ต้องอยู่ในอาวาสที่กำหนดก่อนอรุณขึ้น จึงจะไม่ขาดพรรษา)

     4) หากมีพระภิกษุสงฆ์ผู้เป็นเสนาสนคาหาปกะ ก็ทำการสมมุติเสนาสนคาหาปกะ (เจ้าหน้าที่สงฆ์) เพื่อให้เป็นผู้กำหนดให้พระภิกษุสงฆ์รูปใดจำพรรษา ณ สถานที่ใดในวัด


ภาพที่ ว4-3  การทำสามีจิกรรม
ที่มา : (http://www.src.mbu.ac.th/images/photosnew2557/280757/IMG_0563.JPG, 2015)

     เมื่อแจ้งเรื่องดังกล่าวเสร็จแล้ว อาจจะมีการทำสามีจิกรรม คือ การกล่าวขอขมาโทษซึ่งกันและกัน เพื่อเป็นการแสดงความเคารพซึ่งกันและกันระหว่างพระเถระและพระผู้น้อย และเป็นการสร้างสามัคคีกันในหมู่คณะด้วย

     จากนั้นจึงทำการอธิษฐานพรรษา เป็นพิธีกรรมที่สำคัญที่สุด โดยการเปล่งวาจาว่า จะอยู่จำพรรษาตลอดไตรมาส โดยพระภิกษุสงฆ์ และสามเณรทั้งอารามกราบพระประธาน 3 ครั้ง แล้วเจ้าอาวาสจะนำตั้งนโม 3 จบ และนำเปล่งคำอธิษฐานพรรษาพร้อมกันเป็นภาษาบาลีว่า

     อิมสฺมิ˚ อาวาเส อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ (ถ้ากล่าวหลายคนใช้ อุเปม)

     หลังจากนี้ ในแต่ละวัดจะมีข้อปฏิบัติที่แตกต่างกันไป บางวัดอาจจะมีการเจริญพระพุทธมนต์ต่อ และเมื่อเสร็จแล้ว อาจจะมีการสักการะสถูปเจดีย์ต้นพระศรีมหาโพธิ์ภายในวัดอีก ตามแต่จะเห็นสมควร

     เมื่อพระภิกษุสงฆ์ และสามเณรกลับเสนาสนะของตนแล้ว อาจจะอธิษฐานพรรษาซ้ำอีกเฉพาะเสนาสนะของตนก็ได้ โดยกล่าววาจาอธิษฐานเป็นภาษาบาลีว่า

     อิมสฺมิ˚ วิหาเร อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ (ถ้ากล่าวหลายคนใช้ อุเปม)

     เป็นอันเสร็จพิธีอธิษฐานเข้าจำพรรษาสำหรับพระภิกษุสงฆ์ และพระภิกษุสงฆ์จะต้องรักษาอรุณไม่ให้ขาดตลอด 3 เดือนนับจากนี้ โดยจะต้องรักษาผ้าไตรจีวรตลอดพรรษากาล คือ ต้องอยู่กับผ้าครองจนกว่าจะรุ่งอรุณด้วย

2) การศึกษาพระธรรมวินัยของพระสงฆ์ในระหว่างพรรษาในปัจจุบัน


ภาพที่ ว4-4  การสอบธรรมสนามหลวง
ที่มา : (http://www.dhammakaya.net/wp-content/uploads/2014/10/exam-05.jpg, 2014)

     ในอดีต การเข้าพรรษามีประโยชน์แก่พระภิกษุสงฆ์ในด้านการศึกษาพระธรรมวินัย โดยการที่พระภิกษุสงฆ์จากที่ต่างๆ มาอยู่จำพรรษารวมกันในที่ใดที่หนึ่ง พระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นก็จะมีการแลกเปลี่ยน และถ่ายทอดองค์ความรู้ตามพระธรรมวินัยให้แก่กัน

     ในปัจจุบัน การศึกษาพระธรรมวินัยในช่วงเข้าพรรษาของประเทศไทย ก็ยังจัดเป็นกิจสำคัญของพระภิกษุสงฆ์ โดยเฉพาะพระภิกษุสงฆ์ที่อุปสมบททุกรูป ก็จะต้องศึกษาพระธรรมวินัยเพิ่มเติม ปัจจุบันพระธรรมวินัยถูกจัดเป็นหลักสูตรของคณะสงฆ์ ในหลักสูตรพระธรรมจะเรียกว่า ธรรมวิภาค พระวินัย เรียกว่า วินัยมุข รวมเรียกว่า "นักธรรม" ชั้นต่างๆ โดยจะมีการสอบไล่ความรู้พระปริยัติธรรมในช่วงออกพรรษา เรียกว่า การสอบธรรมสนามหลวง ในช่วงวันขึ้น 9 ค่ำ – ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 11 (จัดสอบนักธรรมชั้นตรีสำหรับพระภิกษุสามเณร) และช่วงวันแรม 2 ค่ำ – แรม 5 ค่ำ เดือน 12 (จัดสอบนักธรรมชั้นโทและเอก สำหรับพระภิกษุสามเณร)

     ปัจจุบันการศึกษาเฉพาะในชั้นนักธรรมตรีสำหรับพระนวกะ หรือพระบวชใหม่ จะจัดสอบในช่วงปลายฤดูเข้าพรรษา เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่จะลาสิกขาบทหลังออกพรรษา จะได้ตั้งใจเรียนพระธรรมวินัยเพื่อสอบไล่ให้ได้นักธรรมในชั้นนี้ด้วย

การถือปฏิบัติประเพณีการบำเพ็ญกุศลเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษาในประเทศไทย >>>


ภาพที่ ว4-5  ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ที่มา : (http://www.spdr80.com/images/Sukhothai_stone.png, 2014)

     การถือปฏิบัติประเพณีการบำเพ็ญกุศลเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษาในประเทศไทย สันนิษฐานว่า เริ่มมีมาตั้งแต่พระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเข้ามาในดินแดนประเทศไทย ซึ่งอาจมีปฏิบัติประเพณีนี้มาตั้งแต่สมัยทวาราวดี แต่มาปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า ชาวไทยได้ถือปฏิบัติในการบำเพ็ญกุศลในเทศกาลเข้าพรรษา ในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ดังปรากฏความในศิลาจารึกหลักที่ 1 (ด้านที่ 2) ดังนี้

     "... คนในเมืองสุโขทัยนี้ มักทาน มักทรงศีล มันโอยทาน พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัยนี้ ทังชาวแม่ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุน ทั้งสิ้นทังหลายทังผู้ชายผู้ญีง ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสน ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน เมื่อโอกพรรษากรานกฐินเดือนณื่งจี่งแล้ว เมื่อกรานกฐิน มีพนมเบี้ย มีพนมหมาก มีพนมดอกไม้ มีหมอนนั่งหมอนโนน บริพารกฐิน โอยทานแล่ปีแล้ญิบล้าน ไปสูดญัตกฐินเถิงอไรญิกพู้น เมื่อจักเข้ามาเวียง เรียงกันแต่อไรญิกพู้นเท้าหัวลาน ดมบังคมกลองด้วยเสียงพาทย์เสียงพีณ เสียงเลื้อนเสียงขับ ใครจักมักเล่น เล่น ใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื้อน เลื้อน เมืองสุโขทัยนี้มีสี่ปากปตูหลวง เที้ยรย่อมคนเสียดกัน เข้ามาดูท่านเผาเทียนท่านเล่นไฟ เมืองสุโขทัยนี้มีดั่งจักแตก ... "

- คำอ่านศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช (ด้านที่ 2)


ภาพที่ ว4-6  นางนพมาศ หรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์
ที่มา : (http://img.tarad.com/shop/l/lungkitti/img-lib/spd_20150928190645_b.jpg, 2016)

     นอกจากนี้ ในหนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ยังได้กล่าวถึงเทศกาลเข้าพรรษาในสมัยสุโขทัย ไว้อีกว่า

     " เมื่อถึงวันขึ้น 14 ค่ำ ทั้งทหารบก และทหารเรือก็จัดขบวนแห่เทียนจำนำพรรษา ทั้งใส่คานหาบไปและลงเรือ ประดิษฐานอยู่ในบุษบกทองคำ ประดับธงทิว ตีกลอง เป่าแตรสังข์แห่ไป ครั้นถึงพระอารามแล้วก็ยกต้นเทียนนั้นเข้าไปถวายในพระอุโบสถ หอพระธรรมและพระวิหาร จุดตามให้สว่างไสวในที่นั้นๆ ตลอด 3 เดือน ดังนี้ทุกพระอาราม "

- ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์

     ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์นั้นสันนิษฐานว่า แต่งขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ ตามความที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงอธิบายเกี่ยวกับเค้าโครงของหนังสือนี้ว่า แม้มีเค้าโครงมาจากสมัยสุโขทัย แต่รายละเอียดมีการแต่งเสริมกันขึ้นมา ในสมัยอยุธยาหรือรัตนโกสินทร์ตอนต้น

ประเพณีเนื่องด้วยการเข้าพรรษาในประเทศไทย >>>

1) ประเพณีการถวายเทียนพรรษา


ภาพที่ ว4-7  การถวายเทียนจำนำพรรษา ณ วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
ที่มา : (http://www.bangpoocity.com/main/images/stories/candle53/intro1.JPG, 2010)

     มีประเพณีหนึ่งที่เนื่องด้วยวันเข้าพรรษาและจัดเป็นประเพณีที่สำคัญและสืบทอดกันเรื่อยมา ก็คือ ประเพณีหล่อเทียนพรรษา สำหรับให้พระภิกษุและพุทธศาสนิกชนทั่วไปได้จุดบูชาพระประธานในโบสถ์ ซึ่งเทียนพรรษาสามารถอยู่ได้ตลอด 3 เดือน และเป็นกุศลทานอย่างหนึ่งในการให้ทานด้วยแสงสว่าง ซึ่งในปัจจุบันได้พัฒนามาเป็นงานประเพณี "ประกวดเทียนพรรษา" ของแต่ละจังหวัด โดยจัดเป็นขบวนแห่ทั้งทางบกและทางน้ำ


ภาพที่ ว4-8  ประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษา จ.อุบลราชธานี ปี พ.ศ. 2557
ที่มา : (http://www.hotelsthailand.com/gallerys/cmspage/292/content/ubon-ratchathani-candle-festival-01.jpg, 2014)

     การถวายเทียนเพื่อจุดตามประทีปเป็นพุทธบูชานั้น มาจากอานิสงส์การถวายเทียนเพื่อจุดเป็นพุทธบูชา ที่ปรากฏความในพระไตรปิฎกและในคัมภีร์อรรถกถาว่า พระอนุรุทธะเถระเคยถวายเทียนบูชาทำให้ได้รับอานิสงส์มากมาย รวมถึงได้เป็นผู้มีจักษุทิพย์ (ตาทิพย์) ด้วย

     การพรรณนาอานิสงส์ดังกล่าว อาจทำให้ชาวพุทธนิยมจุดประทีปเป็นพุทธบูชามานานแล้ว แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่า การทำเทียนพรรษาในประเทศไทยถวายเริ่มมีมาแต่สมัยใด แต่ปรากฏความในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ที่พรรณนาการบำเพ็ญกุศลในช่วงเข้าพรรษาว่า มีการถวายเทียนพรรษาด้วย

     ในประเทศไทย การถวายเทียนเข้าพรรษาจัดเป็นพิธีใหญ่มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ในสมัยรัตนโกสินทร์ การถวายเทียนเข้าพรรษาถือเป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญ โดยจะเรียกว่า พุ่มเทียน มีการพระราชทานถวายพุ่มเทียนรวมพึงโคมเพื่อจุดบูชาตามอารามต่างๆ ทั้งในพระนครและหัวเมือง ซึ่งพิธีนี้ยังคงมีมาจนปัจจุบัน

     การถวายเทียนพรรษาโดยแกะสลักเป็นลวดลายต่างๆ นั้นมีมาแต่โบราณ เดิมเป็นประเพณีราชสำนัก ดังที่ปรากฏในเทียนรุ่งเทียนหลวงตามพระอารามต่างๆ สำหรับเทียนแกะสลักที่ปรากฏว่า มีการจัดทำประกวดกันเป็นเรื่องราวใหญ่โตในปัจจุบันนั้น ปรากฏขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2483 ในจังหวัดอุบลราชธานี โดยนายโพธิ์ ส่งศรี ได้เริ่มทำแม่พิมพ์ปูนซีเมนต์ เพื่อหล่อขี้ผึ้งทำเป็นลวดลายไทยไปประดับติดพิมพ์บนเทียนพรรษา นับเป็นการจัดทำเทียนพรรษาแกะสลักของช่างราษฎร์เป็นครั้งแรก และนายสวน คูณผล ได้ทำลวดลายนูนสลับสีต่างๆ เข้าประกวดจนชนะเลิศ ต่อมาในปี พ.ศ. 2497 จึงเริ่มมีการทำเทียนพรรษาติดพิมพ์ประกวดแบบพิสดารโดยนายประดับ ก้อนแก้ว คือ ทำเป็นรูปพุทธประวัติติดพิมพ์ จนได้รับรางวัลชนะเลิศติดต่อกันมาหลายปี จนปี พ.ศ. 2502 นายคำหมา แสงงาม ช่างแกะสลัก ได้ทำเทียนพรรษาแบบแกะสลักมาประกวดเป็นครั้งแรก จนได้รับรางวัลชนะเลิศ จากนั้นจึงได้มีการแยกประเภทการประกวดต้นเทียนเป็นสองแบบคือ ประเภทติดพิมพ์และประเภทแกะสลัก จนในช่วงหลังปี พ.ศ. 2511 นายอุตสาห์ และนายสมัย แสงวิจิตร ได้เริ่มมีการจัดทำเทียนพรรษาขนาดใหญ่โต ทำเป็นหุ่นและเรื่องราวต่างๆ ซึ่งเป็นลักษณะของเทียนพรรษาขนาดใหญ่ที่ปรากฏในปัจจุบัน

     ในอดีตการหล่อเทียนเข้าพรรษา ถือเป็นพิธีสำคัญที่ชาวพุทธจะมารวมตัวกันนำขี้ผึ้งมาหลอมรวมเป็นแท่งเทียนเพื่อถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ แต่ในปัจจุบันชาวพุทธส่วนใหญ่จะนิยมการซื้อหาเทียนพรรษาจากร้านสังฆภัณฑ์ โดยบางส่วนมีการปรับเปลี่ยนไปซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้แสงสว่างถวายแก่พระภิกษุสงฆ์แทนด้วย ซึ่งนับเป็นการปรับเปลี่ยนที่ได้ประโยชน์แก่พระภิกษุสงฆ์โดยตรง เพราะปัจจุบันไม่ได้มีการนำเทียนมาจุดเพื่ออ่านหนังสืออีกแล้ว พระสงฆ์คงนำเทียนไปจุดบูชาตามอุโบสถวิหารเท่านั้น

2) ประเพณีถวายผ้าอาบน้ำฝน


ภาพที่ ว4-9  ผ้าอาบน้ำฝน หรือผ้าวัสสิกสาฏก
ที่มา : (http://www.phatri.com/images/content/original-1456728817981.png, 2012)

     ผ้าอาบน้ำฝน (หรือผ้าวัสสิกสาฏก) คือ ผ้าเปลี่ยนสำหรับสรงน้ำฝนของพระภิกษุสงฆ์ เป็นผ้าลักษณะเดียวกับผ้าสบง โดยปกติแล้วเครื่องใช้สอยของพระภิกษุสงฆ์ตามพุทธานุญาตที่ให้มีประจำตัวนั้น มีเพียงอัฏฐบริขาร ซึ่งได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน แต่ช่วงหน้าฝนของการจำพรรษาในสมัยก่อนนั้น พระภิกษุสงฆ์ที่มีเพียงสบงผืนเดียวจะอาบน้ำฝน จำเป็นต้องเปลือยกาย ทำให้ดูไม่งามและเหมือนนักบวชนอกศาสนา นางวิสาขาจึงคิดถวาย "ผ้าวัสสิกสาฏก" หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "ผ้าอาบน้ำฝน" เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้ผลัดเปลี่ยนกับผ้าสบงปกติ จนเป็นประเพณีทำบุญสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน โดยปรากฏสาเหตุความเป็นมาของการถวายผ้าอาบน้ำฝนในพระไตรปิฎกดังนี้

     ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าประทับ ณ พระเชตวันมหาวิหาร นางวิสาขาได้มาฟังธรรม แล้วทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าและหมู่สงฆ์ไปฉันที่บ้านของนางในวันรุ่งขึ้น เช้าวันนั้น เกิดฝนตกครั้งใหญ่ตกในทวีปทั้ง 4 พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายสรงสนานกาย พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายที่ไม่มีผ้าอาบน้ำฝน จึงออกมาสรงน้ำฝนโดยร่างเปลือยกายอยู่

     พอดีกันกับที่นางวิสาขา สั่งให้นางทาสีไปนิมนต์พระภิกษุสงฆ์มารับภัตตาหารที่บ้านของตน เมื่อนางทาสีไปถึงที่วัดเห็นพระภิกษุสงฆ์เปลื้องผ้าสรงสนานกาย ก็เข้าใจว่า ในอารามมีแต่พวกชีเปลือย ไม่มีพระภิกษุสงฆ์อยู่จึงกลับบ้าน ส่วนนางวิสาขานั้นเป็นสตรีที่ฉลาดรู้แจ้งในเหตุการณ์ทั้งปวง เมื่อถวายภัตตาหารแด่่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขในวันนั้นแล้ว จึงได้โอกาสอันควรทูลขอพร 8 ประการต่อพระพุทธเจ้า ดังนี้

1) ขอถวายผ้าวัสสิกสาฎก (ผ้าอาบน้ำ) แด่พระภิกษุสงฆ์เพื่อปกปิดความเปลือยกาย

2) ขอถวายภัตตาหารแต่พระอาคันตุกะ เนื่องจากพระอาคันตุกะไม่ชำนาญหนทาง

3) ขอถวายคมิกภัตแด่พระผู้เตรียมตัวเดินทาง เพื่อจะได้ไม่พลัดจากหมู่เกวียน

4) ขอถวายคิลานภัตแด่พระอาพาธ เพื่อไม่ให้อาการอาพาธกำเริบ

5) ขอถวายภัตแด่พระผู้พยาบาลพระอาพาธ เพื่อให้ท่านนำคิลานภัตไปถวายพระอาพาธได้ตามเวลา และพระผู้พยาบาลจะได้ไม่อดอาหาร

6) ขอถวายคิลานเภสัชแด่่พระอาพาธ เพื่อให้อาการอาพาธทุเลาลง

7) ขอถวายยาคูเป็นประจำแด่พระภิกษุสงฆ์

8) ขอถวายผ้าอุทกสาฎก (ผ้าอาบน้ำ) แด่ภิกษุณีสงฆ์ เพื่อปกปิดความไม่งามและไม่ให้ถูกเย้ยยัน

     พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตพร 8 ประการที่นางวิสาขาได้ทูลขอเอาไว้ โดยนางวิสาขาได้ให้เหตุผลของการถวายผ้าอาบน้ำฝนว่า เพื่อให้ใช้ปกปิดความเปลือยกายในเวลาสรงน้ำฝนของพระภิกษุสงฆ์ ที่ดูไม่งามดังกล่าว ดังนั้น นางวิสาขาจึงเป็นอุบาสิกาคนแรกที่ได้รับอนุญาตให้ถวายผ้าอาบน้ำฝน (วัสสิกสาฏก) แก่พระภิกษุสงฆ์

     ผ้าอาบน้ำฝน จึงถือเป็นบริขารพิเศษที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์ได้ใช้ ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องทำให้ถูกต้องตามพระวินัย มิเช่นนั้นพระภิกษุสงฆ์จะต้องอาบัตินิคสัคคิยปาจิตตีย์ คือ ต้องทำผ้ากว้างยาวให้ถูกขนาดตามพระวินัย คือ ยาว 6 คืบ พระสุคตกว้าง 2 คืบครึ่ง ตามมาตราปัจจุบันคือ ยาว 4 ศอก 3 กระเบียด กว้าง 1 ศอก 1 คืบ 4 นิ้ว 1 กระเบียดเศษ ถ้าหากมีขนาดใหญ่กว่านี้ พระภิกษุสงฆ์ต้องตัดให้ได้ขนาด จึงจะปลงอาบัติได้

     นอกจากนี้ พระพุทธเจ้าได้ทรงวางกรอบเวลาในการแสวงหาผ้าอาบน้ำฝนไว้ด้วย โดยพระพุทธเจ้ายังได้ทรงวางกรอบเวลาในการแสวงหาผ้าอาบน้ำฝนไว้ว่า หากพระภิกษุสงฆ์แสวงหาผ้าอาบน้ำฝนมาใช้ได้ภายนอกกำหนดเวลาดังกล่าว จะต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ กล่าวคือ ทรงวางกรอบเวลาหรือเขตกาลไว้ 3 เขตกาล คือ

1) เขตกาลที่จะแสวงหา คือ ช่วงปลายฤดูร้อน ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 7 - วันเพ็ญเดือน 8 (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8) รวมระยะเวลาประมาณ 1 เดือน

2) เขตกาลที่จะทำนุ่งห่ม คือ ช่วงกึ่งเดือนปลายฤดูร้อน ตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 8 - วันเพ็ญเดือน 8 (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8) รวมระยะเวลาประมาณ 15 วัน

3) เขตกาลที่จะอธิษฐานใช้สอย คือ ช่วงเข้าพรรษา ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 - วันเพ็ญเดือน 12 (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12) รวมระยะเวลาประมาณ 4 เดือน

     ด้วยกรอบพระพุทธานุญาตและกรอบเวลาตามพระวินัยดังกล่าว เมื่อถึงเวลาที่พระภิกษุสงฆ์ต้องแสวงหาผ้าอาบน้ำฝน พุทธศานิกชนจึงถือโอกาสบำเพ็ญกุศล ด้วยการจัดหาผ้าอาบน้ำฝนมาถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ จนเป็นประเพณีสำคัญเนื่องในเทศกาลเข้าพรรษามาจนถึงปัจจุบัน


ภาพที่ ว4-10  การถวายผ้าอาบน้ำฝน ณ วัดถ้ำเขาวงศ์ จ.นครราชสีมา
ที่มา : (http://www.watthamkhaowong.com/index/B%20index/B1/tvt/DSC00813.JPG, 2016)

3) ประเพณีถวายผ้าจำนำพรรษา


ภาพที่ ว4-11  ผ้าจำนำพรรษา หรือผ้าวัสสาวาสิกสาฏก
ที่มา : (http://www.horo-thai.com/wp-content/uploads/2012/08/1314340297-300x200.jpg, 2012)

     ผ้าจำนำพรรษา (หรือผ้าวัสสาวาสิกสาฎก) เป็นผ้าไตรจีวรที่ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ที่อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือน ที่ผ่านวันปวารณาไปแล้ว หรือที่ผ่านวันปวารณา และได้กรานและอนุโมทนากฐินแล้ว ซึ่งผ้าจำนำพรรษานี้ พระภิกษุสงฆ์สามารถรับได้ภายในกำหนด 5 เดือน ที่เป็นเขตอานิสงส์กฐิน คือ ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 - วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4

     แต่สำหรับพระภิกษุสงฆ์ที่จำพรรษาครบ 3 เดือน และผ่านวันปวารณาไปแล้ว ซึ่งไม่ได้กรานและอนุโมทนากฐิน ก็สามารถรับและใช้ผ้าจำนำพรรษาได้เช่นกัน แต่สามารถรับได้ในช่วงกำหนดเพียง 1 เดือน ในเขตจีวรกาล สำหรับผู้ไม่ได้กรานกฐินเท่านั้น

     การถวายผ้าจำนำพรรษาในช่วงดังกล่าว เพื่ออนุเคราะห์แก่พระภิกษุสงฆ์ที่ต้องการจีวรมาเปลี่ยนของเก่าที่ชำรุด พุทธศาสนิกชนจึงนิยมถวายผ้าจำนำพรรษามาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ในประเทศไทยก็ปรากฏว่า มีพระราชประเพณีการถวายผ้าจำนำพรรษาแก่พระภิกษุสงฆ์มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ตามความที่ปรากฏในหนังสือพระราชนิพนธ์พระราชพิธี 12 เดือน ซึ่งปัจจุบันแม้ทางราชสำนักได้งดประเพณีนี้ไปแล้ว แต่ประเพณีนี้ก็ยังคงมีอยู่สำหรับประชาชน โดยนิยมถวายเป็นผ้าไตรแก่พระภิกษุสงฆ์หลังพิธีงานกฐิน เป็นที่น่าสังเกตว่า ปัจจุบันจะมีคนเข้าใจผิดว่า ผ้าจำนำพรรษา คือ ผ้าอาบน้ำฝน ซึ่งความจริงแล้วมีความเป็นมาและพระวินัยที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

4) ประเพณีถวายผ้าอัจเจกจีวร


ภาพที่ ว4-12  ผ้าอัจเจกจีวร
ที่มา : (http://www.trueplookpanya.com/data/product/media/4MENU/pic4menu/n7.jpg, 2016)

     ผ้าอัจเจกจีวร แปลว่า จีวรรีบร้อน หรือผ้าด่วน คือ ผ้าจำนำพรรษาที่ถวายล่วงหน้าในช่วงเข้าพรรษา ก่อนกำหนดจีวรกาลปกติ ด้วยเหตุรีบร้อนของผู้ถวาย เช่น ผู้ถวายจะไปรบทัพหรือเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเป็นบุคคลที่พึ่งเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนา ควรรับไว้ฉลองศรัทธา

     ผ้าอัจเจกจีวรนี้ พระวินัยอนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์รับเก็บไว้ได้ แต่ต้องรับก่อนวันปวารณาไม่เกิน 10 วัน (คือ ตั้งแต่วันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 11 - วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11) และต้องนำมาใช้ภายในช่วงจีวรกาล

     ผ้าอัจเจกจีวรนี้ เป็นผ้าที่มีความมุ่งหมายเดียวกับผ้าจำนำพรรษา เพียงแต่ถวายก่อนฤดูจีวรกาลด้วยวัตถุประสงค์ที่รีบด่วน หรือความไม่แน่ใจในชีวิต ซึ่งประเพณีนี้คงมีสืบทอดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ปัจจุบันไม่ปรากฏเป็นพิธีใหญ่ เพราะเป็นการถวายด้วยสาเหตุส่วนตัวเฉพาะรายไป ส่วนมากจะมีเจ้าภาพผู้ถวายเพียงคนเดียว และเป็นคนป่วยหนักที่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า

การประกอบพิธีทางศาสนาในช่วงเข้าพรรษา >>>

1) พระราชพิธีเนื่องในวันเข้าพรรษา

     การพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในวันเข้าพรรษานี้ มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เนื่องในวันอาสาฬหบูชาและเทศกาลเข้าพรรษา ซึ่งเดิมก่อนปี พ.ศ. 2501 จะเรียกว่า การพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล เนื่องในวันเข้าพรรษา แต่หลังจากที่ทางคณะสงฆ์มีการกำหนดให้เพิ่มวันอาสาฬหบูชา เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกวันหนึ่ง (ก่อนหน้าวันเข้าพรรษา 1 วัน) ในปี พ.ศ. 2501 สำนักพระราชวังจึงได้กำหนดเพิ่มการบำเพ็ญพระราชกุศลในวันอาสาฬหบูชาเพิ่มเติมขึ้นมาด้วยอีกวันหนึ่ง รวมเป็น 2 วัน

     การพระราชพิธีนี้ โดยปกติแล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จะเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในการพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศล และบางครั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ โดยสถานที่ประกอบ
พระราชพิธีหลักจะจัดในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดบวรนิเวศวิหาร และภายในพระบรมมหาราชวัง การสำคัญของพระราชพิธีนี้คือ การถวายพุ่มเทียนเครื่องบูชาแก่พระพุทธปฏิมา และพระราชาคณะ รวมทั้งการพระราชทานภัตตาหารแก่พระราชาคณะ ฐานานุกรม เปรียญ ซึ่งรับอาราธานามารับบิณฑบาตในพระบรมมหาราชวังจำนวน 150 รูป ในวันเข้าพรรษาทุกปี ซึ่งการพระราชพิธีนี้เป็นการแสดงออกถึงพระราชศรัทธาอันแน่นแฟ้นในพระพุทธศาสนา ขององค์พระมหากษัตริย์ไทย ผู้ทรงเป็นเอกอัครพุทธศาสนูปถัมภกมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

2) พิธีสามัญ

     เมื่อถึงวันเข้าพรรษา พุทธศาสนิกชนนิยมไปทำบุญตักบาตร ถวายเทียนพรรษา ถวายผ้าอาบน้ำฝน โดยมักจะจัดเครื่องสักการะ เช่น ดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องใช้ สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น มาถวายพระภิกษุ สามเณร หรือมีการช่วยพระภิกษุสงฆ์ทำความสะอาดเสนาสนะ ซ่อมแซมกุฏิ วิหารและอื่นๆ โดยนิยมไปร่วมทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรม และรักษาอุโบสถศีล (ศีล 8) กันที่วัด บางคนอาจตั้งใจงดเว้นการทำความชั่วต่างๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดฆ่าสัตว์ตัดชีวิต งดเว้นการดื่มสุรา เป็นต้น ซึ่งพอสรุปกิจที่พุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติในพรรษากาลได้ดังต่อไปนี้

1) ร่วมกิจกรรมทำเทียนพรรษาหรือหลอดไฟถวายแก่พระภิกษุสงฆ์

2) ร่วมกิจกรรมถวายผ้าอาบน้ำฝน และจตุปัจจัย แก่พระภิกษุ สามเณร

3) ร่วมทำบุญ ตักบาตร ฟังพระธรรมเทศนา รักษาอุโบสถศีล (ศีล 8) ตลอดพรรษากาล

4) อธิษฐานตั้งใจทำความดี งดเว้นการทำความชั่วต่างๆ เช่น งดเว้นการดื่มสุรา เป็นต้น

บรรณานุกรม (Bibilography) >>>

1) วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. 2559. วันเข้าพรรษา. (ออนไลน์). แหล่งที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/วันเข้าพรรษา. 15 พฤษภาคม 2559

กลับไปยังหน้า "วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา" >>>

หน้าแรก | ความเป็นมา | ข่าวและกิจกรรม | เที่ยวชมวัด | บรรยายธรรม | บทสวดมนต์ | ติดต่อวัด | กลับขึ้นด้านบน
สงวนลิขสิทธิ์ ปี 2559 โดยมูลนิธิสิรินธรราชวิทยาลัย ในพระราชูปถัมภ์
จัดทำ ออกแบบและดูแล Website โดย นายรังสิมันตุ์ วงษ์นิกร

Free Web Hosting